ชีวิตหลังความตาย
โลกหลังความตายเป็นมิติทับซ้อนกับโลกที่เราอยู่ เป็นโลกของชีวิตหลังความตาย พวกเขามองเห็นเรา แต่เรามองไม่เห็นพวกเขา พวกเขาเห็นการกระทำของเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำดี ทำชั่ว
เมื่อคนเราตายไป วิญญาณจะออกจากร่าง และวนเวียนอยู่ใกล้ร่างนั้น ประมาณ ๗ วัน ช่วงนี้เอง
โอกาศที่เราจะเห็นวิญญาณเหล่านั้นได้ง่าย เพราะเพิ่งตาย ภาพสังขารยังคงยึดติดอยู่กับสภาพสุดท้าย
คนที่ได้รับบาดเจ็บ ป่วยหนัก อยู่ในอาการโคม่า ไม่มีสติ วิญญาณมีโอกาสที่จะออกจากร่างได้เช่นกัน
พอครบ ๗ วันวิญญาณเหล่านั้น ก็จะถูกยมฑูตนำตัว ไปรายงานตัวต่อ ยมบาล เพื่อพิพากษา ความดี ความชั่ว บุญ บาป ที่เคยกระทำมาเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่
ซึ่งคำพิพากษา ก็จะออกมาเป็น ๓ ทางคือ
- ถ้าทำบุญไว้มาก ก็จะได้ขึ้นไปสวรรค์
- ทำบุญมากพอสมควร ก็อาจมาอยู่ในโลกหลังความตาย ที่ทับซ้อนกับโลกมนุษย์ เพื่อรอเวลาไปเกิด ถ้าลูกหลาน ญาติทำบุญ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้มากๆ ก็จะทำให้ได้ ไปเกิดเร็วขึ้น สำหรับดวงวิญญาณดวงใด ที่ยังคงมีความอาฆาตพยาบาท จะตามแก้แค้นในโอกาสนี้
- ถ้าทำกรรมชั่วไว้มาก ก็จะต้องตกนรก รับผลกรรมที่เคยกระทำมา ต้องรอวันพระ ถึงจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมารับบุญได้ แต่ก็ไม่ได้ทุกครั้ง ทุกตน ที่จะได้รับอนุญาต ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกรรมที่เขาได้ทำไว้ในกลุ่มที่ 3 ดวงวิญญาณกลุ่มนี้ เขาต้องหิวโหย รอคนทำบุญไปให้ แต่ถ้าตัวเขาตอนที่มีชีวิตอยู่ ทำบุญตักบาตร และทำกรรมดีไว้มาก เขาก็จะสามารถกินอาหารที่เคย ทำบุญไว้ได้อย่างไม่จำกัด แต่ถ้าทำบุญด้วยจิตที่ไม่บริสุทธิ์ หรือไม่สงบนัก ก็จะทำให้จำนวนครั้งที่กินได้ น้อยลงไป และมีโอกาสหมดไปได้เวลาเราทำบุญ ต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้ครบทุกภพ ไม่ว่าจะเป็น พรหมโลก เทวโลก มนุษย์โลก ยมโลก สัตว์โลก ทุกท่าน ทุกตน ทุกคนเลย จะได้รับเท่ากัน เหมือนกันหมด
วิญญาณที่มีลูกหลานคอยทำบุญ คอยระลึกถึง หรืออนุญาตให้อยู่ในบ้านได้ก็จะสบายกว่า พวกวิญญาณเร่ร่อน ที่ไม่มีที่สิงสถิตย์
ตัวอย่างผู้ป่วยวิญญาณออกจากร่าง
พวกเราทุกคน ที่ได้โอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็เพื่อชดใช้หนี้กรรมและรับผลกรรมดีที่เคยทำมา
ทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ในเมืองเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ใช้เวลานาน 4 ปี ศึกษาวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบผู้ป่วยจำนวน 2,060 คน ซึ่งป่วยหนักและมีอาการหัวใจหยุดเต้นในโรงพยาบาลต่างๆ รวม 15 โรงพยาบาล ทั้งในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และออสเตรีย
ในจำนวนผู้ป่วยที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้้ มีผู้รอดชีวิตจากภาวะดังกล่าว 330 ราย เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสอบถาม ซักประสบการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างละเอียด ถือเป็นการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ต่อภาวะ “เฉียดตาย” และ “ประสบการณ์นอกร่างกาย” ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำกันมาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
นายแพทย์ แซม พาร์เนีย อดีตนักวิจัยรับเชิญประจำมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสหรัฐอเมริกา หัวหน้าทีมวิจัยครั้งนี้ สรุปผลการวิจัยเอาไว้ว่า ทีมวิจัยพบว่ามีกลุ่มตัวอย่างเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิตจากภาวะการณ์ดังกล่าว หรือราว 140 คน บอกเล่าถึงประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้น “มีความรู้สึกตัว” บางอย่างคงอยู่
หลังจากที่ในทางการแพทย์ถือว่าคนเหล่านั้นเสียชีวิตแล้วเพราะหัวใจหยุดเต้น ก่อนที่จะได้รับการปั๊มหัวใจรอดชีวิตขึ้นมาใหม่
หนึ่งในจำนวนนั้นเป็นชายชาวเมืองเซาแธมป์ตัน วัย 57 ปี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์บอกว่า จำได้ว่าออกจากร่างกายตัวเอง แล้วไปหยุดมองหมอและพยาบาล พยายามทำให้ตัวเองฟื้นคืนชีพอยู่ตรงมุมห้อง ทั้งๆ ที่ชายผู้นี้หัวใจหยุดเต้นและในทางการแพทย์ถือว่า “ตาย” ไปแล้ว เป็นเวลา 3 นาที ที่ทีมวิจัยสามารถคำนวณระยะเวลาที่เขาเสียชีวิตไปได้
เนื่องจากชายผู้นี้จำรายละเอียดได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเสียงของเครื่องมือแพทย์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งจะส่งเสียง ปิ๊ด ทุกๆ 3 นาที เขาจำได้ว่าเขาได้ยินเสียงปิ๊ด 2 ครั้งด้วยกัน
นายแพทย์ พาร์เนีย ระบุว่า ในทางการแพทย์นั้นเมื่อหัวใจหยุดเต้น สมองจะไม่สามารถทำงานต่อไปได้และจะปิดการทำงานทั้งหมดลงตามมาภายใน 20-30 วินาที แต่ในกรณีของชายผู้นี้ ความรู้สึกสำนึกดูเหมือนจะยังคงอยู่หลังจากนั้นไปแล้วนานถึง 3 นาที หลังจากการหยุดเต้นของหัวใจ
นอกจากนั้น ยังสามารถให้รายละเอียดของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องได้ ทั้งยังได้ยินเสียงอีกต่างหาก ทั้งนี้ นายแพทย์ พาร์เนียพูดถึงชายผู้นี้ว่า น่าเชื่อถือมาก และจากการตรวจสอบกับทีมหมอ–พยาบาล ทุกอย่างที่เขาบอกว่าเกิดขึ้น เกิดขึ้นจริงในห้วงเวลาดังกล่าว
ในขณะที่มีอีกหลายคนมากที่ไม่สามารถย้อนรำลึกถึงรายละเอียดจำเพาะที่เกิดขึ้นได้ แต่โดยรวมแล้วผู้ที่มีประสบการณ์ทำนองนี้มักบอกเล่าออกมาคล้ายๆ กัน ที่พบทั่วไปอย่างหนึ่งคือ พวกเขารู้สึกถึงความสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ส่วนอีกราว 1 ใน 3 บอกว่า เวลาสำหรับพวกเขาในเวลานั้นเปลี่ยนไปจากภาวะปกติ ถ้าไม่ช้าลงก็เร็วขึ้นจนรู้สึกได้ บางคนบอกถึงการได้เห็นแสงสว่างจ้าเหมือนแสงสีทองจ้าของดวงอาทิตย์ คนอื่นๆ เล่าถึงความรู้สึกกลัว หรือรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ
หรือกำลังถูกฉุดลากผ่านน้ำลึกๆ 13 เปอร์เซ็นต์บอกว่า รู้สึกได้ว่าถูกแยกออกจากร่างกาย และ 13 เปอร์เซ็นต์ของผู้รอดตายเช่นกันที่ระบุว่า ประสาทสัมผัสต่างๆ ของตนไวและละเอียดอ่อนขึ้นมาก
นายแพทย์ เดวิด ไวลด์ นักวิจัยด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยนอตติงเเฮม เทรนท์ ชี้ว่า รายงานการศึกษาดังกล่าวถือเป็นหลักฐานที่ดีอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามี ประสบการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจริงหลังจากที่คนเราถือว่าตายไปแล้วทางการแพทย์
นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองสรุปเหมือนๆ กันว่า ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการศึกษาให้ลึกซึ้งต่อไป
โปรดใช้วิจารณญาณ
คลิกดู การคำนวณบุญบาป
ทำบุญ 7 วัน 50 วัน 100 วัน (ให้ผู้ตาย)