อยากทำธุรกิจของตนเองต้องทำอย่างไร
ข้อควรรู้สำหรับคนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง
1. สำรวจตัวเอง
การสำรวจตัวเองเบื้องต้นนี้ คุณอาจยังมองไม่เป็นภาพรวมทั้งหมดของธุรกิจของคุณ แต่การสำรวจถึงทักษะ, ความรู้จากการศึกษา และประสบการณ์ที่อยู่ภายในตัวคุณ นั่นหมายถึงว่าคุณจะสามารถจัดเตรียมอาวุธ,เครื่องมืออะไรได้บ้างที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจของคุณ ขั้นตอนก็มีเพียงแค่ 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เป็นการประเมินถึงทักษะ และความรู้ความสามารถของคุณอย่างซื่อสัตย์กับตัวเอง คุณควรจะลิสต์ทุกสิ่งทุกอย่างออกมาว่าคุณมีทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างฉกาจหรือมีความรู้ในด้านใดบ้าง รวมถึงความสามารถในการทำสิ่งใด ๆ ที่คุณทำสำเร็จมาแล้ว แต่ไม่ต้องลิสต์สิ่งที่คุณทำผิด หรือมีความสงสัยอยู่ลงไปด้วย เพราะที่ลิสต์นี้เราจะเขียนแต่สิ่งที่คุณรู้เป็นอย่างดีว่าคุณจะทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จได้อย่างไรบ้าง (อย่ายกยอตัวเองเกินไป แต่อย่ากังวลว่าถ้าให้คุณทำมันอีกครั้งคุณอาจจะทำไม่ได้)
ขั้นตอนที่ 2 หลังจากที่คุณได้เจาะจงลงไปถึงทักษะเฉพาะตัว และความสามารถส่วนตัวของคุณแล้ว คราวนี้คุณก็ลงมุ่งไปที่ความรู้ในเรื่องธุรกิจของคุณดูว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่คุณสนใจเป็นพิเศษ ลิสต์ออกมาว่าคุณมีความรู้ในธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมด้านใด สาขาใดบ้าง ถ้าเป็นไปได้อาจจะเขียนออกมาเป็น Outline ง่ายถึงสิ่งที่สัมพันธ์กัน แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจคุณควรจะลิสต์ทุก ๆ อย่าง โดยมุ่งความสนใจเจาะจงไปที่ข้อมูลความรู้ในธุรกิจนั้น ๆ มากกว่าธุรกิจที่ได้พบจากประสบการณ์ชีวิตทั่วๆ ไป เพราะประสบการณ์ทั้งหมดจะมีประโยชน์มาก แต่คุณจะสามารถนำมันขึ้นมาใช้ได้ต่อเมื่อคุณได้ทำการตัดสินใจเกี่ยวกับว่าทักษะอะไรที่คุณอาจต้องการการพัฒนาเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจของคุณไปได้ด้วยดี
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินความสามารถในการตัดสินของคุณ เมื่อคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณจะต้องรับภาระ และทำการตัดสินใจหลายๆ เรื่อง ซึ่งการตัดสินใจนั้นอาจจะต้องใช้พื้นฐานจากอะไรที่คุณคิด ไม่ใช่การตัดสินใจทั้งหมดที่จะสามารถทำได้ทันที แต่บางครั้งคุณอาจจะต้องใช้เวลาคิด ถ้าผลกระทบที่ได้รับจากการตัดสินใจของคุณทำให้เกิดปัญหาให้คนอื่น ต้องมาช่วยแก้ไขให้แล้วละก็ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินธุรกิจของคุณไปได้ มองย้อนกลับไปจากประสบการณ์ชีวิตของคุณ แล้วลองเขียน 2 เหตุการณ์ที่คุณทำการตัดสินใจได้ไม่ดีนัก แล้วลองคิดดู แล้วลิสต์ออกมาว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนสุดท้าย แต่ยังไม่ใช่ท้ายสุด จะเป็นการเจาะจงความสามารถในการเป็นเจ้าของธุรกิจของคุณ จากที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น มีเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมายต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมายในตอนแรกเริ่มและพวกเขาได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดจากตัวพวกเขาเอง คุณลองมองให้ชัดเจนถึงสิ่งที่เป็นแรงจูงใจของคุณ และความเชื่อในตัวคุณเอง มันจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับความท้าทายที่จะมาถึงด้วยตัวคุณเองกับธุรกิจที่คุณเป็นเจ้าของเองบางทีองค์ประกอบ 3 สิ่งที่สำคัญบนเส้นทางแห่งความสำเร็จ นั่นคือ ความสามารถในการยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ความเต็มใจและพร้อมจะรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด และความก้าวทางทางเทคโนโลยี และความสามารถที่จะเชื่อใจตัวคุณเอง ถ้าคุณมีทั้ง 3 สิ่งนี้ นั่นแสดงว่าคุณได้เดินทางไปกว่าครึ่งของเส้นทางสู่เส้นชัยแล้ว
ในครั้งแรกที่คุณได้สำรวจและประเมินตัวเองแล้ว คุณอาจต้องการทบทวนขั้นตอนทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อดูว่าคุณอยู่ที่จุดใดแล้วในเวลานี้ ด้วยการประเมินค่า และทำความเข้าใจว่าทำไม และเพราะอะไรกับสิ่งที่คุณทำได้สำเร็จ และไม่สำเร็จจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของคุณ จนถึง ณ วันนี้ คุณสามารถใช้ความรู้ความสามารถของคุณทั้งหมดที่คุณมีอยู่ได้ดีมากกว่านี้ในตอนนี้ และอนาคตไหม คำถามที่จะได้เห็นเหล่านี้อาจจะช่วยคุณได้ จำไว้ว่ายิ่งคุณซื่อสัตย์ต่อตัวเองเท่าไร คุณก็จะได้รับคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคำถามในแต่ละข้อ และนั่นจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ที่สุดที่คุณจะได้รับ
อะไรที่คุณรู้สึกนั่นเป็นความคิดหลักที่มั่นคงที่สุดของคุณ
อะไรที่คุณรู้สึกนั่นเป็นจุดอ่อนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดของสำหรับคุณ
อะไรที่เป็นความสามารถพิเศษที่คุณมีอยู่ และในสถานการณ์ใดที่คุณเคยใช้มันแก้ปัญหาได้สำเร็จมาแล้ว
คุณกำหนดแนวความคิดเฉพาะตัวอย่างไร ในการมีงานทำ หรือการเป็นลูกจ้าง
ตอนนี้ทุกสิ่งได้เริ่มจุดประกายขึ้นแล้ว หรือไม่คุณก็กำลังจะเริ่มมีข้อสงสัยหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ขอให้คุณจงฟังและรับรู้ถึงความรู้สึกของคุณเอง และมีความเชื่อถือในตัวเอง และสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเป็นเครื่องมือสำหรับคุณเพื่อจะนำไปใช้ในกระบวนการประเมินตัวเอง ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป…!!!
2. กำหนดงบประมาณทางการเงิน
ถ้าคุณต้องการจะเริ่มต้นทำธุรกิจของคุณเอง มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพิจารณาถึงฐานะทางการเงินของคุณด้วยการกำหนดรายได้ที่คุณได้รับ และรายจ่ายที่คุณต้องเสียไปในปัจจุบัน คุณอาจจะวางแผนความต้องการทางการเงินของคุณในเดือนถัดไปไว้ด้วย
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีความแตกต่างกันระหว่างเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจของคุณ และเมื่อคุณเริ่มที่จะสร้างรายได้ได้แล้ว ความจริงแล้วผู้ที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการจัดการธุรกิจส่วนใหญ่ คนที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในธุรกิจขนาดเล็กสามารถจะให้คำแนะนำกับคุณได้ว่าคุณควรจะมีเงินออมอย่างน้อยที่สุด 6 เดือนสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของคุณในระยะเริ่มต้น แน่นอนระยะเวลาอาจจะขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจที่คุณตัดสินใจเลือกทำ ธุรกิจบริการและธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องบ้านมักจะเป็นธุรกิจที่คนส่วนใหญ่เลือกทำกัน โดยเฉพาะผู้หญิงเพราะว่าต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจต่ำกว่าธุรกิจอื่น ๆ
ก่อนที่คุณจะทำการตัดสินใจเกี่ยวกับประเภทของธุรกิจที่คุณจะเลือกทำ คุณจะต้องพัฒนาการวางแผนเงินออมและรายจ่ายประจำเดือน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถเจาะจงได้ว่าคุณจะต้องใช้เงินเท่าไรในแต่ละเดือนจึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้ และมันยังสามารถบอกให้คุณรู้ได้ว่าฝันของคุณที่ต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจเข้ากันกันฝันที่คุณต้องการจะส่งลูกเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่
วิธีการในการพัฒนาการวางแผนเงินออม และรายจ่ายมีขั้นตอน ดังนี้
1.กำหนด และเขียนรายจ่ายสำหรับแต่ละเดือน และสำหรับแต่ละปี ค่าใช้จ่ายคงที่ที่รวมไปถึงค่าเบี้ยประกันภัยค่าผ่อนบ้าน, ค่าผ่อนรถ, ค่าของใช้สอยอื่น ๆ และเงินออมที่ต้องเก็บด้วย
2.เมื่อคุณกำหนดรายจ่ายคงที่สำหรับแต่ละเดือนแล้ว คุณก็รวมรายจ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน และเป็นปีด้วย
3.กำหนดค่าใช้จ่ายผันแปร และเขียนไว้สำหรับแต่ละเดือน และรวมไปถึงรายจ่ายที่ต้องใช้ในปีถัดไปด้วย เพราะถ้าคุณไม่มีกฎเกณฑ์ในการกำหนดค่าใช้จ่ายสำหรับรายการพวกนี้ คุณจะยืดหยุ่นเกินไปว่าจะรวมหรือไม่รวมรายการพวกนี้ไปด้วย และจะต้องจ่ายเป็นเงินเท่าไรสำหรับแต่ละรายการ ลองพิจารณาว่าอะไรที่คุณได้จ่ายไปในเดือนที่ผ่านมา และลองพิจารณาดูว่าคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ค่าใช้จ่ายที่สามารถยืดหยุ่นได้รวมทั้งสิ่งที่เป็นอาหารการกิน เช่น อาหารมือค่ำในภัตตาหารที่ไม่จำเป็น ค่าเสื้อผ้า ค่า Entertain ค่าเดินทาง และอื่น ๆ
4.ครั้งแรกคุณอาจจะกำหนดค่าใช้จ่ายผันแปรของคุณทั้งหมดในแต่ละเดือน และรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน และเป็นรายปีด้วย
5.ตอนนี้หักค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งหมดของคุณ และค่าใช้จ่ายผันแปรทั้งหมดของคุณสำหรับแต่ละเดือนออกจากรายได้รายเดือนและรายปีที่คุณคาดว่าจะได้รับ
ดูสิว่ารายได้และรายจ่ายที่คิดออกมาสมดุลกันหรือไม่ ลองถามตัวเองว่าคุณยังมีรายได้พิเศษอื่นนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่ ถ้าคุณยังมีรายได้พิเศษส่วนอื่นอีก นั่นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคุณ คุณสามารถใช้เงินออมอันนี้ และรายการรายจ่ายกะประมาณได้ว่าเงินเท่าไรที่คุณต้องการใช้ในแต่ละเดือนอย่างน้อยที่สุด คุณสามารถใช้รายการเงินออมและรายการจ่ายเหล่านี้ในการกำหนดว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ารายได้และรายจ่ายของคุณเปลี่ยนแปลงไปในปีถัดไป
หลังจากที่ได้ทดสอบการค้นหาความต้องการเงินออมและรายจ่าย คุณอาจจะหาว่าแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นอะไรบ้างที่คุณยังขาดอยู่ในการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องกังวล มันเกิดขึ้นกับคนมากมาย ความจริงแล้วมันอาจจะเป็นอุปสรรคที่คุณจะต้องเอาชนะให้ได้ก็ได้
ถ้าคุณยังคงมีความตั้งใจที่จะเริ่มธุรกิจของคุณเอง คุณอาจต้องเริ่มสะสมแหล่งที่มาของรายได้ที่เป็นทางเลือกอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือมากกว่านั้นใช้เงินออมส่วนตัวในการเริ่มทำธุรกิจของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการใช้เงินมากกว่าเงินออมในบัญชีที่คุณมีอยู่ แหล่งเงินอื่น ๆ มากมายอาจจะมาจากการกู้ยืมธนาคาร, หรือแหล่งเงินอื่น ๆ ที่คุณสามารถคิดได้ก็ได้ กฎที่ดีที่สำคัญอย่างหนึ่งคือคุณไม่ควรจะยืมเงินมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจ บ่อยครั้งที่คุณยืมเงินมามากเกินไปแล้วไม่สามารถควบคุมการใช้มันได้…!!!
3. วางเป้าหมายหลักส่วนตัว
การกำหนดเป้าหมายหลักส่วนตัวเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อคุณกำลังตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นธุรกิจของคุณ หรือไม่เพราะว่าธุรกิจของคุณจะมีผลกระทบกับทุก ๆ สิ่งในชีวิตของคุณ มันเป็นวิกฤตการณ์ที่คุณจะต้องรู้ทราบมันเหมาะสมกับชีวิตของคุณหรือไม่ และมันจะทำให้คุณก้าวไปถึงเป้าหมายอื่น ๆ ได้หรือไม่ ประโยชน์ 2 ข้อ ที่คุณจะได้รับจากผลของการกำหนด และวางเป้าหมายหลักในชีวิตคือ จิตใจที่สงบ และมีเป้าหมาย ลองมองไปที่ประโยชน์ที่จะได้รับเพียงเล็กน้อยจากการวางเป้าหมายหลักส่วนตัวคุณจะได้รับสิ่งเหล่านี้ คือ
คุณสามารถใช้จิตใจ และดึงความสามารถออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
มีจุดประสงค์ที่แน่ชัด และมีทิศทางให้กับชีวิต
ทำให้การตัดสินใจถูกต้อง และแม่นยำยิ่งขึ้น
ทำอะไรได้มากขึ้นสำหรับตัวคุณเอง และผู้อื่น
มีความมั่นใจสูง และมีความศรัทธาในตนเอง
รู้สึกถึงความสำเร็จมากขึ้น
มีความกระตือรือร้น และมีแรงจูงใจในการทำสิ่งใด
จำไว้ว่าคุณจะไม่ต้องจ่ายสำหรับค่าวางเป้าหมาย และคุณจะต้องจ่ายถ้าคุณไม่ได้วางเป้าหมายไว้ คนจำนวนมากถึง 97 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่มีการกำหนดเป้าหมายส่วนตัวด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ ความกลัว ( FEAR : False Evidence Appearing Real) เป็นสิ่งที่ขัดขวางพวกเขาออกจากการกำหนดเป้าหมายส่วนตัว และความเสี่ยงที่เป้าหมายนั่นพวกเขาอาจจะไปไม่ถึงก็ได้
มีคำถามหนึ่งที่ผู้หญิงหลายคนถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายนั่นดีหรือไม่ดี หรืออีกนัยหนึ่งคุณพิจารณาได้อย่างไรระหว่างเป้าหมายที่สำคัญมากจริง ๆ และมันดีที่จะมีการกำหนดเป้าหมาย แต่มันไม่สำคัญมากขนาดนั้น คุณจะรู้ว่าเป้าหมายที่คุณเลือกนั่นสำคัญหรือไม่โดยการตอบคำถาม 4 ข้อเหล่านี้
1. เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคุณหรือไม่
2. นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมหรือไม่
3. คุณสามารถควบคุมอารมณ์ของคุณให้ทำงานนี้ได้สำเร็จหรือไม่
4. คุณสามารถมองภาพที่จะไปถึงเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่
ถ้าคำตอบของคุณเป็น “ไม่ใช่” เลยแม้แต่เพียงข้อเดียวจากคำถามเหล่านี้ คุณอาจะต้องพิจารณาเป้าหมายนี้ใหม่อีกครั้งแล้วละ ในระยะเวลาสั้น ๆ มันจะปรากฏว่าดีสำหรับคุณ แต่ในระยะยาวคุณจะระเบิดตัวเองด้วยความขัดแย้ง และความผิดหวังมากมายที่ทำให้คุณประสาทเสียได้ ขอให้มั่นใจในการกำหนดเป้าหมายหลักให้มากเท่า ๆ กับเป้าหมายอื่น ๆ เป้าหมายหลักจะบังคับให้คุณต้องไปถึงมันและใช้ความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณเพื่อที่จะไปถึงมันให้ได้ เป้าหมายระยะยาวจะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะควมล้มเหลวในช่วงสั้น ๆ ไปได้ มันสามารถจะช่วยให้คุณเปลี่ยนทิศทางของคุณได้โดยไม่ต้องถอยหลังกลับมาติดสินใจใหม่อีกครั้ง
คุณเคยไปถึงเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้หรือไม่ คนที่กำหนดเป้าหมายหลัก เป้าหมายระยะยาวมักจะถูกพบว่าเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง มีความนับถือตัวเองสูง และมีแรงจูงใจส่วนตัวที่สูงมาก มากกว่าครึ่งหนึ่งของรางวัลทั้งหมด และประโยชน์ที่ได้รับจากการกำหนดเป้าหมาย แท้จริงแล้วมาจากการเริ่มต้นในทิศทางที่ถูกต้อง และเอาใจใส่อย่างต่อเนื่อง
เหล่านี้เป็นขั้นตอนง่าย ๆ 6 ขั้นตอน ที่คุณสามารถใช้ในการกำหนดเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายส่วนตัว หรือการกำหนดเป้าหมายแบบมืออาชีพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป้าหมายที่คุณได้เลือกแล้วควรจะต้องรวมถึง 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ด้วย
1. กำหนดเป้าหมายของคุณด้วยการเขียนลงบนกระดาษ
2. กำหนดวันสุดท้ายที่คุณจะต้องได้รับความสำเร็จ โดยการระบุวันที่ลงไปด้วย
3. ลิสต์รายการอุปสรรคที่คุณจะต้องเอาชนะมันเพื่อให้ประสบความสำเร็จให้ได้
4. ลิสต์ทักษะ และความรู้ที่ต้องการใช้เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย อะไรที่คุณจะต้องรู้บ้าง
5. พัฒนาแผนงานของสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายมากที่สุด
6. เขียนผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการที่คุณไปถึงเป้าหมายได้ในที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการพยากรณ์ สิ่งที่สำคัญคุณจะต้องประเมินเป้าหมายของคุณอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามันอยู่บนเส้นทางที่คุณต้องการจะให้มันเดินไป จำไว้ว่าการกำหนดเป้าหมายเป็นขั้นตอนที่ต้องต่อเนืองไปตลอดชีวิต ครั้งแรกที่คุณประสบความสำเร็จกับเป้าหมายแรกของคุณ จงแน่ใจว่าคุณได้แทนที่มันด้วยเป้าหมายอื่นต่อไปแล้ว วิธีการนี้คุณจะทำให้คุณได้รับผลที่น่าพอใจซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ได้จากการกำหนดเป้าหมาย…!!!
4. ปัจจัยในการเริ่มทำธุรกิจ
ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านได้ศึกษามาแล้วว่าการที่ธุรกิจขนาดเล็กจะเริ่มต้นได้นั้น จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญเหล่านี้ จึงจะมองเห็นความสำเร็จได้ นั่นคือ
ความรู้ในเรื่องที่จะทำทั้งในด้านของความรู้ที่เป็นวิชาการ และความรู้ที่ได้จากประสบการณ์การทำงาน
ทัศนคติ หรือความเต็มใจในการทำงานหลาย ๆ ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน และบางทีอาจเป็นปีโดยคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้รับรายได้เท่าไร
แผนทางธุรกิจ ถ้าธุรกิจไม่มีแผนธุรกิจที่ดีแล้วก็เปรียบเหมือนกับเรือที่ไม่มีหางเสือ
เงินลงทุน ทั้งที่เป็นเงินสด และทรัพย์สมบัติอื่น ๆ เช่น สถานที่, อุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน
การลงมือทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ถ้าคุณต้องการไปให้ถึงจุดที่รู้สึกว่าคุณสบายมากสำหรับปัจจัย 5 ประการนี้แล้ว นั่นแสดงถึงความน่าจะเป็นที่คุณจะไปได้ดีกับมันหากคุณตัดสินใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจของคุณเอง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณยังขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรืออาจมากกว่านั้น คุณอาจจะต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า “ตอนนี้” เป็นเวลาที่ถูกต้องแล้วเหรอ
การเป็นเจ้าของธุรกิจปกติแล้วจะต้องการความรู้, เวลา, การวางแผน, ทรัพย์สมบัติ และพลังใจที่เข้มแข็งมากกว่าการทำงานให้คนอื่น ขอให้แน่ใจว่าคุณเต็มใจ และสามารถที่จะทำหน้าที่ได้ตั้งใจไว้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามได้สำเร็จ ที่มันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณเสี่ยงที่จะได้รับความสำเร็จมา แต่นั่นอาจหมายรวมถึงว่าคุณจะต้องพิจารณาไปถึงเป้าหมายหลักอื่นที่คุณอาจจะมีอยู่ด้วย รวมทั้งรู้จักความรับผิดชอบในปัจจุบัน และอนาคตด้วย กฏทั่ว ๆ ไปให้คุณลองกะประมาณเวลาที่คุณจะสามารถให้กับธุรกิจของคุณได้แล้วเพิ่มมันเข้าไปอีก 1 เท่า เชื่อหรือไม่ว่า นี่เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการกำหนดเวลาในการรับผิดชอบของคุณว่าคุณจะต้องใช้มันในการดำเนินธุรกิจของคุณให้คงอยู่ได้
เห็นได้ชัดว่า ธุรกิจบางประเภทมีความยืดหยุ่นมากกว่าธุรกิจประเภทอื่น ๆ ในเรื่องของเวลาที่จะต้องใช้ในการทำธุรกิจ คุณอาจต้องการปรับเปลี่ยนเป้าหมายของธุรกิจของคุณให้ตรงกับเป้าหมายของชีวิตของคุณ คุณต้องการทำงานหนักแค่ไหน คุณต้องการที่จะเร่งรีบทำการขายทุก ๆ วันหรือไม่ ถ้าคุณกำหนดไว้ว่าคุณจะต้องมีวันหยุดทุกสุดสัปดาห์ คุณควรจะกำจัดหัวข้อของการขายปลีก, ที่ดิน และอีกหลาย ๆ หัวข้อออกไปจากลิสต์ที่ของธุรกิจที่จะเป็นไปได้ของคุณ แต่คุณไม่ควรจะท้อใจ ยังมีธุรกิจอื่น ๆ อีกที่อาจจะต้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่คุณต้องการ และคุณคิดว่ามันใช่สำหรับคุณ
ขอให้แน่ใจว่าได้ให้ครอบครัวของคุณเข้ามาร่วมในกระบวนการตัดสินใจครั้งนี้ด้วย การสนับสนุนการพวกเขาถือเป็นสิ่งสำคัญมาก พวกเขาอาจจะช่วยให้คุณสามารถค้นหาประเภทธุรกิจที่คุณต้องการได้แคบลงและเจาะจงมากขึ้น และพวกเขายังสามารถคอยเป็นกองหลังเพื่อส่งเสิรมให้คุณในขณะที่คุณกำลังปีนเขาอยู่ก็ได้…!!!
5. ค้นหาไอเดียจากตัวเอง
มีธุรกิจมากมายหลายประเภทที่แตกต่างกันในตลาดการค้า แต่ละธุรกิจมีความต้องการที่แท้จริงแตกต่างกันซึ่งตลาดการค้าก็คือสิ่งที่บ่งบองถึงความต้องการ ในหลาย ๆ ทาง นี่เป็นสิ่งที่ดีเพราะว่ามันสามารถมอบทางเลือกที่ไม่มีข้อจำกัดให้คุณสำหรับประเภทธุรกิจที่คุณต้องการเริ่มต้นทำ อีกทางหนึ่งมันอาจจะคุณมีชัยไปกว่าครึ่งในความพยายามที่จะเลือกเฟ้นจากทางเลือกทั้งหมดที่อาจจะเป็นไปได้ต่าง ๆ กัน และเลือกธุรกิจที่ถูกต้องได้สักธุรกิจสำหรับคุณ
เพื่อให้กระบวนการนี้ง่ายยิ่งขึ้น เรามีขั้นตอนเป็น step by step ให้คุณให้สามารถเจาะจงทางเลือกของธุรกิจของคุณได้แคบมากขึ้น ขั้นแรก เริ่มต้นที่ตัวคุณก่อน การค้นหาแนวความคิดของธุรกิจของคุณจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากการเรียนรู้ขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อคุณจะสามารถค้นหาเข้าไปถึงจุดที่คุณสนใจ, ทักษะ, ความสามารถ และไหวพริบได้มากที่สุด ครั้งแรกที่คุณกำหนดไว้ว่าคุณสนใจในเรื่องใด และมีทักษะ ความสามารถในเรื่องใดมากที่สุด เรามามองไปที่ตลาดการค้าดูว่าอะไรที่ยังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอยู่บ้าง
แนวความคิดเบื้องต้นสำหรับธุรกิจของคุณส่วนมากแล้วมาจากสิ่งเหล่านี้ คือ
ตำแหน่งการงานของคุณในปัจจุบัน
งานอดิเรกที่คุณสนใจเป็นพิเศษ
คำตอบของคำถามที่ว่า “ทำไมไม่มี…?”
สินค้า หรือบริการที่เห็นจากธุรกิจของคนอื่น
วิธีการที่แตกต่างในการใช้ของสิ่งนั้น ๆ
ความต้องการที่สังเกตได้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือประเพณีนิยม
เพื่อช่วยให้การค้นหาของคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ดู และมองเข้าไปถึงความสนใจ, ทักษะ, ความสามารถ, ความรู้ และไหวพริบที่คุณมีมันจะช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
1. มองเข้าไปถึงสิ่งที่คุณสนใจ สิ่งที่คุณสนใจเป็นสิ่งที่คุณชอบ และไม่ชอบ ความที่คุณชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และคุณไม่ชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เริ่มเขียนมันลงบนกระดาษว่าอะไรที่คุณสนใจ โดยดูจากคำถามเหล่านี้
อะไรที่เป็นงานอดิเรกของคุณในปัจจุบัน อะไรที่เป็นงานอดิเรกของคุณเมื่อตอนที่คุณยังเป็นเด็ก ?
หลักสูตรการเรียนอะไรที่คุณชอบมากที่สุดเมื่อคุณยังเป็นนักเรียนอยู่ ?
มีงานอะไรบ้างไหมที่คุณชอบมาก ๆ หรือมีความพอใจมากที่ได้ทำ
กีฬา และกิจกรรมสร้างสรรค์อะไรที่คุณสนใจโดยเฉพาะ และสนุกที่ได้ทำ ?
อะไรที่คุณมักจะทำในเวลาว่าง และอะไรที่คุณชอบทำถ้าคุณสามารถทำได้ ?
อะไรที่คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สนุกที่สุด ?
ครั้งแรกที่คุณคิดออกมาว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุณสนใจไปแล้ว ลองเจาะจงลงไปว่าอะไรบ้างที่คุณไม่ชอบทำเลยเขียนกิจกรรมเหล่านั้นไว้ข้างใต้สิ่งที่คุณสนใจ และบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมจึงไม่ชอบ บัญชีรายชื่อสิ่งที่คุณสนใจไม่ใช่สิ่งบ่งบอกที่แน่นอนว่าอะไรที่คุณควรจะทำ มันเป็นเพียงจุดของการเริ่มต้นที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้ขอบเขตความสนใจของคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณไม่สับสนถึงสิ่งที่คุณสนใจกับความสามารถ และทักษะของคุณ ถ้าคุณเขียนมันออกมาทั้งหมดแล้ว ลองทบทวนถึงกิจกรรมที่คุณสนใจ ว่ามีอะไรที่เกี่ยวโยงกันได้ไหม ถ้ามีให้วงกลมที่เกี่ยวข้องกันไว้
2. สร้างบัญชีรายการทักษะที่คุณมี กุญแจสำคัญที่จะทำให้เกิดแนวความคิดของธุรกิจของคุณ คือการรู้จัก และสามารถทำให้ทักษะที่แตกต่างของคุณออกมาอย่างชัดเจน คำว่า “ทักษะ” ถูกใช้ในเรื่องของความรู้สึกทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นได้ คุณไม่ต้องมองไปทักษะที่คุณมีเพียงคนเดียวในโลกนี้ มันเพียงพอสำหรับทักษะคุณมีในทุก ๆ ระดับ คุณมองไปที่ทักษะอะไรก็ได้ที่อาจจะเห็นได้ชัดเจนในขณะที่คุณกำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ คุณจะต้องเปิดใจของคุณในขณะที่คุณกำลังทำบัญชีรายการทักษะนี้
หลังจากที่คุณได้สร้างบัญชีรายการทักษะนี้ขึ้นมาแล้ว ให้วงกลมทักษะเหล่านี้ที่แสดงถึงความสามารถของคุณได้มากที่สุด และทักษะที่คุณมีความพอใจมากที่สุดที่ไดทำมัน ตอนนี้จะเห็นแล้วว่าข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้สามารถชี้นำคุณในการค้นหาได้ว่าธุรกิจของคุณควรจะเป็นอะไร
3. นึกถึงเรื่องที่เป็นกำลังใจ ทุก ๆ คนมีความทรงจำในแต่ละช่วงของชีวิตว่าช่วงไหนที่แข็งแกร่งมากที่สุดมันอาจเป็นช่วงเวลาที่คุณได้กล่าวคำปราศรัยเป็นครั้งแรก หรือเป็นวันที่ลูกของคุณเกิด หรือมันอาจเป็นเวลาที่คุณเดินไปถึงเป้าหมายที่คุณคิดว่าไม่มีวันจะไปถึงได้ อะไรก็ตามที่ เมื่อคุณนึกถึงเวลาเหล่านั้นแล้วทำให้คุณรู้สึกภูมิใจในตัวเอง เราเรียกมันเวลาความทรงจำที่เป็น “power stories” ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาเหล่านี้ในชีวิต หรือคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ ลองนึกถึงความทรงจำเหล่านี้แล้วเลิสต์รายการออกมา แบ่งกระดาษออกเป็น 2 ส่วน ด้านซ้ายให้เขียนแต่ละเรื่องออกมาก ส่วนด้านขวาให้ลิสต์ทักษะ และความสามารถพิเศษที่คุณใช้ในแต่ละเรื่อง ทักษะอะไรและความสามารถอะไรที่ปรากฎขึ้นในแต่ละเรื่อง
4. สร้างบัญชีรายการความรู้พิเศษ ให้คุณลองลิสต์รายการความรู้พิเศษจากแหล่งเหล่านี้ดู เช่น
การเรียนรู้จากโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย
การเรียนรู้จากงาน หรือการกระทำอื่น ๆ ที่บ้าน หรือที่ทำงาน
การเรียนรู้จากงานสัมมนา และการปฏิบัติงานจริง (workshop)
การเรียนรู้จากการพูดคุยกับคนอื่น ๆ
คุณควรจะลิสต์รายการความรู้พิเศษหลาย ๆ ประเภทให้มากที่สุดเท่าที่จะคิดได้ แล้ววงกลม 5 ประเภทที่คุณคิดว่าจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจของคุณได้ หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วลองดูว่าข้อมูลที่ได้บ่งบอกว่าธุรกิจของคุณควรที่จะเป็นไปในทิศทางใด อะไรจึงจะเหมาะกับคุณมากที่สุด…!!!
6. ค้นหากลุ่มตลาดเป้าหมาย
การวิจัยที่ผ่านมาบ่งบอกมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าคุณจะต้องรู้สึกเต็มใจและมีความสุขมาก ๆ กับสิ่งที่คุณจะทำ ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว ถ้าคุณเริ่มต้นธุรกิจบนพื้นฐานของหลักการช้า ๆ แต่รวยเร็วแล้วละก็คุณจะพบว่าคุณรู้สึกเหนื่อยอย่างรวดเร็ว อีกทางหนึ่ง ถ้าคุณเพ่งเล็งไปแต่เฉพาะสิ่งที่คุณชอบ และคุณไม่เอาใจใส่ความต้องการของตลาด ไม่ช้าคุณจะพบว่ามีบิลเก็บเงินมากมายเหลือเกินที่คุณจะต้องจ่ายทุก ๆ สิ้นเดือน อะไรคือคำตอบล่ะ ?
ก็เหมือนกับสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต คำตอบคือ การค้นหาความสมดุล มันเหมือนกับว่าทุก ๆ สิ่งคุณต้องการจะให้คนอื่นในโลกนี้ก็ต้องอยากจะรับไว้ด้วย กลยุทธ์นี้ก็เพื่อค้นหาบุคคลคนนั้น แล้วนำเสนอสินค้า หรือบริการของคุณในรูปแบบที่พวกเขาจะไม่สามารถปฏิเสธได้ อะไรที่คุณควรจะให้ ? นี่เป็นการจับคู่ความสนใจส่วนตัวของคุณให้เข้ากับความต้องการของตลาด
ลองดูตัวอย่างนี้ ซินดี้สนใจในเรื่องของการเดินทางที่ท้าทายมาก เธอเคยทำงานในบริษัททัวร์เป็นเวลาหลายปี และเธอกำลังคิดที่จะเริ่มธุรกิจท่องเที่ยวสำหรับผู้หญิง เธอตัดสินใจที่จะทดสอบโดยการลงโฆษณา และลงนิตยสารของผู้หญิง เมื่อมีคนน้อยมากที่ตอบรับการโฆษณาของเธอ เธอหลงเข้าใจผิดและตัดสินใจว่าความคิดของเธอไม่มีวันประสบความสำเร็จได้
แต่เมื่อเพื่อนหญิงของเธอบอกเธอเกี่ยวกับนิตยสารเกี่ยวกับผู้หญิงที่เพิ่งออกใหม่ที่เพื่อนของเธอเพิ่งเห็นมา เธอเห็นว่ามันน่าสนใจ จึงได้ซื้อนิตยสารเล่มนั้นมาอ่าน หลังจากได้พูดคุยกับผู้จัดทำนิตยสาร เธอก็ได้รู้ว่ามีผู้หญิงจำนวนมากที่อ่านนิตยสารประเภทนี้สนใจเรื่องการท่องเที่ยวเพื่อเป็นการเปิดโลกให้กับพวกเธอ ซินดี้ยังได้เรียนรู้อีกว่าพวกผู้หญิงพวกนี้ส่วนมากจะมีอายุที่ 30 และ 40 ปีขึ้นไป ไม่ใช่ 20 อย่างที่เธอคิดไว้ในตอนแรก
จากความรู้เหล่านี้ เธอจึงได้จัดแพ็กเก็ตทัวร์ที่มีคุณมุ่งหมายเพื่อผู้หญิงที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการท่องเที่ยวที่ท้าทาย และเธอก็ได้ลงโฆษณาบนนิตยสารที่เพื่อนเธอแนะนำไว้ ผลตอบรับที่มากมายหลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ทำให้เธอสามารถสร้างกรุ๊ปทัวร์กลุ่มแรกได้ และเป็นการเริ่มต้นธุรกิจของเธอด้วย
เรื่องของซินดี้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จตัวอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้มีโชคเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เข้ามาช่วย เรื่องของเธอก็น่าจะเป็นเรื่องที่ล้มเหลว การวิจัยตลาดบ่อยครั้งที่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว ซินดี้ไม่เคยได้ทิ้งความฝันของเธอในการทำสิ่งที่เธอรัก แต่จนกระทั่งเธอได้รู้ถึงตลาดกลุ่มเป้าหมายของเธอ
คติที่ได้จากข้อนี้คืออะไร ? ก็คือ การมองเข้าไปข้างในตัวคุณเองเพื่อเรียนรู้ว่าคุณชอบอะไร และอะไรที่เป็นสิ่งที่คุณฝันไว้ เมื่อคุณเปิดตาและใช้เวลาในการค้นหาใครสักคนที่สามารถเข้ามาร่วมแชร์ความฝันนั้นกับคุณได้ ทั้งหมดนี้มันอาจจะใช้เวลานานสักหน่อย แต่ผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่ามาก…!!!
7. วาดภาพตัวเองกับธุรกิจ
เมื่อคุณพยายามที่จะเลือกธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด มันง่ายที่จะในการที่จะคิดจากสิ่งที่คุณมีนั่นคือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั่นเอง คุณจะต้องทำมันต่อเนื่องต่อไป โดยไม่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ คุณอาจจะต้องจบลงด้วยการเช่าสำนักงานเล็ก ๆ หรือย้ายสำนักงานมาเป็นห้องเล็ก ๆ ที่บ้านของคุณเองเพื่อที่จะผูกตัวคุณเองไว้กับงานเก่า ๆ ของคุณ หรือไม่คุณอาจจะจบลงที่การจ่ายเงินเกือบทั้งหมดที่คุณได้รับไปกับการทุบฟุตบาทใหม่เพื่อการขายที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ แล้วมันมีอยู่แล้วที่บ้านของคุณเอง
เพื่อช่วยให้คุณเข้าถึงความรู้สึกกับธุรกิจของคุณเอง ก่อนที่คุณจะเริ่มธุรกิจจริง ๆ คุณต้องพยายามใช้มโนภาพของการสร้างภาพในจิตใจถึงสิ่งที่คุณจะต้องทำในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไร โดยการทำสิ่งนี้ คุณจะค้นพบว่าอะไรที่คุณรู้สึกว่าคุณจะต้องได้พบเจอกันทุกๆ วันในการทำงาน คุณสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าคุณอยู่บนทางของอาชีพที่ถูกต้องแล้วหรือยัง
มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการประเมินค่ารูปแบบทิศทางของธุรกิจของคุณก่อนที่จะนำเงิน, เวลา และพลังงานของคุณไปลงทุนกับมันจริง ๆ การเดินเข้าไปสู่ธุรกิจแบบผิดวิธี ( เช่น ตัดสินใจลาออกจากงานที่ไม่ต้องการแบบกระทันหัน เพียงเพราะมีความรู้สึกว่าต้องการสร้างธุรกิจของตัวเองมากระตุ้น หรือเพื่อต้องการที่จะมีเวลามากขึ้น ) โดยไม่มีการวิจัยที่ดีพอสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวได้ ไม่ในอาชีพการงาน ก็ชีวิตส่วนตัว หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
คำถามเหล่านี้เป็นวิธีง่าย ๆ ในการช่วยให้คุณคิดว่าแต่ละวันของคุณจะเป็นอย่างไรสำหรับครั้งแรกของการเป็นเจ้าของธุรกิจของคุณเอง ในขณะที่พิจารณาแต่ละคำถาม สังเกตความรู้สึกของคุณว่าเป็นอย่างไร คุณรู้สึกเครียด และปั่นป่วนในขณะที่อ่านคำถามแต่ละข้อหรือไม่ หรือคุณรู้สึกตื่นเต้นและมีแรงจูงใจ แต่คุณกลับไม่รู้เหตุผลว่าทำไม ลองฟังความรู้สึกของคุณเองและจงเชื่อในตัวคุณเอง
1. เวลาไหนที่เหมาะสำหรับเริ่มต้นวันธุรกิจของคุณ ?
2. คุณจะใส่ชุดอะไรไปทำงาน ?
3. คุณจะเปิดประตูเข้าไปสู่ธุรกิจของคุณ มันอยู่ที่ไหน ลักษณะเป็นอย่างไร ?
4. เมื่อคุณมองไปรอบ ๆ ใครบ้างที่คุณเห็นที่นั่น ?
5. คุณผลิตสินค้าของธุรกิจคุณ สินค้านั่นคืออะไร ?
6. ลูกค้าที่ซื้อสินค้าคุณ เขาหรือเธอมีลักษณะเป็นอย่างไร ผู้ชายหรือผู้หญิง อายุเท่าไร มีอาชีพอะไร ?
7. ถ้าคุณจะสร้างกลุ่มลูกค้า ทำไมลูกค้าเหล่านี้ถึงจะต้องเลือกสินค้า หรือบริการของคุณ แล้วพวกเขารู้จักสินค้าของคุณได้อย่างไร ?
8. คุณคิดอย่างไรกับสินค้าหรือบริการของคุณ มันควรจะมีราคาเท่าไรดี ลูกค้าจะจ่ายเงินได้โดยวิธีใด เงินสด หรือเครดิตการ์ด หรือซื้อเงินเชื่อ ?
9. คุณลองมองไปที่รายชื่อลูกค้าของคุณ แล้วคิดว่าเมื่อไร และที่ไหนที่เขา หรือเธอจะมาซื้อสินค้าจากคุณในครั้งต่อ ๆ ไป ?
10. ในเวลาอาหารกลางวัน และอาหารเย็น คุณกำลังทานอะไร ?
11. คุณทานอาหารกับใคร ที่ไหน และเมื่อไร ?
12. เมื่อเช้านี้ผ่านไปแล้ว คุณได้ทำอะไรไปบ้างครึ่งวันนี้ ผลิตอะไรบางอย่าง ขายอะไรบางอย่าง หรือไปไหนมาบ้าง ?
13. เวลาใดที่คุณจะปิดร้าน ?
14. คุณจัดเก็บบิล หรือนับเงินของคุณ คุณได้เงินมาเท่าไรสำหรับวันนี้ และเป็นเงินสดเท่าไร แล้วยังมีส่วนที่ลูกค้าไม่ได้จ่ายอีกเท่าไร ?
15. เวลาที่คุณจะกลับบ้าน คุณตรงกลับบ้านเลย หรือคุณจะต้องแวะที่ไหนก่อน ?
16. เมื่อคุณกลับถึงบ้าน คุณยังต้องมีงานบ้านที่ต้องรับผิดชอบอีกหรือไม่ ?
17. คุณจำเป็นต้องวางแผนงานสำหรับธุรกิจของคุณ เมื่อไรที่คุณทำสิ่งนี้ ?
18. คุณต้องการคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้พบมาในแต่ละวันกับใครบางคนหรือไม่ แล้วใครที่คุณคุยด้วย ?
19. คุณจะต้องเตรียมงานในวันพรุ่งนี้ คุณทำอย่างไร ?
20. เวลาเท่าไรที่คุณเข้านอนจริง ๆ ?
8. ทำให้ธุรกิจเติบโต
การสร้างธุรกิจของตัวเองไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำคนเดียวเสมอไป กว่า 10 ปีที่ผ่านมาธุรกิจแบบหุ้นส่วนมีมากขึ้นเป็น 2 เท่าของธุรกิจเจ้าของคนเดียว จากการประเมินผลจากภาษีที่ได้รับ อะไรที่เป็นสิ่งจูงใจให้ 7 ใน 10 ของธุรกิจขนาดเล็กมีการดำเนินงานร่วมกับคนอื่น ? เหตุผลที่มักจะได้รับเสมอ คือ มันทำให้สามารถสร้างงานโปรเจ็กต์ใหญ่ ๆสร้างกลุ่มลูกค้า หรือกำไรได้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลว เพื่อพัฒนาสายผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพื่อขยายสาขาเพิ่มเติมรวมไปถึงการเรียนรู้ และสิ่งที่จะได้รับจากเพื่อนร่วมงาน การสนับสนุน และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และความสนุกสนานที่สามารถได้มาจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น
อะไรอาจเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจของการมีหุ้นส่วน ในขณะที่รูปแบบส่วนมากที่เราเห็นกันไม่ใช่ประเภททั่วไป หรือเป็นการรวมธุรกิจประเภทที่นิยม ดังนั้นก่อนที่จะกระโดดเข้าไปสู่การมีหุ้นส่วน พิจารณาวิธีการอื่นของการร่วมธุรกิจที่สามารถมีสิทธิได้ดีกว่าในธุรกิจของตนเอง เรากำหนด 10 รูปแบบของการร่วมธรุกิจ โดยมีระดับของการเสี่ยงน้อยมาก และมีความสัมพันธ์ร่วมกันกันในระยะสั้น ๆ ไปจนถึงการทำสัญญาระยะยาวที่ขยายเวลาไปมากกว่าปี
1. Networking เป็นวิธีการมีความเสี่ยงน้อยมากที่สุดในการร่วมธุรกิจ โดยการสร้างเครือข่าย 1 ใน 4 ของเครือข่ายขององค์กรทั้งหมด เช่น องค์การโทรศัพท์ร่วมกับ Telecom Asia เป็นต้น
2. Mutual Referral Arrangements อะไรที่มีความเกี่ยวข้องกันในการทำสัญญาร่วมกัน เช่น การร่วมกลุ่มลูกค้าของธุรกิจของแต่ละองค์กร อาจจะมากกว่า 2 องค์กรก็ได้ หรืออาจเป็นธุรกิจที่แตกต่างกัน หรือเกี่ยวข้องกันก็ได้
3. Cross Promotions ตัวอย่างของวิธีการ เช่น การลงโฆษณาร่วมกัน การแชร์บูตแสดงสินค้าร่วมกัน หรือการจัดลดราคาสินค้าร่วมกันของธุรกิจ Supplier และ Supermarket
4. Interdependent Alliances ธุรกิจ 2 แห่งหรือมากกว่าตกลงทำงานร่วมกับในโครงการหนึ่ง ๆ หรือที่เรียกว่า “Freelance” นั่นเอง
5. Joint Ventures ถ้าจำเป็นที่จะต้องมีหุ้นส่วนระยะสั้น สำหรับงานโครงการ หรืองานที่ต้องอาศัยการร่วมธุรกิจ แต่จะต้องจำไว้ว่าวิธีนี้จะต้องมีทรัพย์สินทางกฏหมายของหุ้นส่วนร่วมกัน และควรจะเขียนไว้เป็นหลักฐานด้วย
6. Satellite Subcontracting เมื่อธุรกิจต้องการมีที่ปรึกษา หรือต้องการใช้ทรัพยากรนอกบริษัทมากกว่าการจ้างลูกจ้าง วิธีการนี้เป็นรูปแบบของการร่วมธุรกิจที่มีระยะเวลาหลายปี ซึ่งคนที่มาทำงานเหล่านี้จะขึ้นกับคนของเขาเอง ส่วนมากมักจะเห็นจากธุรกิจการแพทย์ หรือธุรกิจกฏหมาย
7. Consortiums สำหรับประเภทนี้ แต่ละคนจะมีทักษะที่แตกต่างกันแต่เกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มเพื่อดึงให้ธุรกิจไปพร้อม ๆ กันทั้งกลุ่ม เช่น กลุ่ม ISP อินเตอร์เน็ต, Web Designer, Web master, นักเขียนที่อาจรวมมตัวกันเองแล้วหางานมาเข้ากลุ่ม
8. Family/Spouse Collaboration เป็นการทำงานร่วมกันสามี /ภรรยาของตัวเอง อาจร่วมไปถึงญาติ และครอบครัว ความสัมพันธ์ในลักษณะจะต้องมีการจัดการเป็นพิเศษ และเป็นสิ่งสำคัญมากในการแบ่งแยกความความสัมพันธ์ระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว
9. Partnerships ในขณะที่ร่วมสัญญานั้นเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการร่วมธุรกิจทุกรูปแบบ มันเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นหุ้นส่วน และควรจะให้รายละเอียดอย่างครบถ้วนในการซื้อหุ้น หรือการเลิกล้มความเป็นหุ้นส่วน สัญญาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อใช้การพิจารณาหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนขึ้น
10. Virtual Organizations วิธีการนี้ป็นการตกลงที่ค่อนข้างยืดหยุ่นว่าจะร่วมกันหรือไม่ เป็นแบบโครงการต่อโครงการ สมาชิกอาจจะมีจากหลาย ๆ ส่วนของประเทศ และทีมงานมักจะไม่ใช่ทีมเดียวกันทุก ๆ โครงการ
จากทั้งหมดนี้ ลองเลือกวิธีที่คุณชอบมากที่สุด แต่ให้แน่ใจว่าได้มองคน หรือธุรกิจที่เขาสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้เท่า ๆ กับที่คุณทำ…!!!
ขอบคุณบทความดีดีจาก : Trend-group.com
คลิกดู อยากกู้เงินทำอย่างไร
คลิกดู โรงพิมพ์ JR