วิตามินซีเพิ่มภูมิต้านทานโรค
วิตามินซี (Vitamin C) หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินที่หลายคนรู้จักดี โดยจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมภูมิต้านทาน บำรุงผิว ชะลอการเสื่อมของเซลล์ภายในร่างกาย อีกทั้งยังอาจช่วยบรรเทาอาการจากการติดเชื้อไวรัสได้ด้วย
เมื่อเอ่ยถึงวิตามินซี อีกสรรพคุณที่โดดเด่นของวิตามินชนิดนี้ คือ การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยระบบภูมิคุ้มกันของคนเรานั้นมีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรค ทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้น การได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอต่อวันก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
ท่ามกลางโรคภัยชนิดใหม่เกิดขึ้นมากมายในทุกวันนี้ หากมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงก็ย่อมดีกว่า เพราะอาจช่วยบรรเทาความรุนแรงของโรคและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นอีกมากมาย โดยในบทความนี้ได้รวบรวมสรรพคุณเหล่านั้นมาให้ได้ศึกษากัน
ประโยชน์ของวิตามินซีต่อสุขภาพ
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า วิตามินชนิดนี้เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย หากได้รับไม่เพียงพอก็อาจส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุล ทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจนำมาซึ่งความเจ็บป่วย แต่หากได้รับอย่างเพียงพอก็อาจช่วยเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของโรคบางชนิดได้ ดังนี้
1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
เม็ดเลือดขาวเป็นหนึ่งในสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibody) ของร่างกาย โดยเม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ในการต่อต้านและกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อเม็ดเลือดขาวทำลายเชื้อแปลกปลอมสำเร็จ เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันก็จะจดจำวิธีการในการตอบสนองต่อเชื้อโรคชนิดนั้น จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ซึ่งอาจลดความรุนแรง ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ หรือการป่วยจากเชื้อชนิดเดิมซ้ำได้
จากการศึกษาพบว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวของร่างกาย ซึ่งอาจช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น โดยวิตามินชนิดนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันความเสียหายของเม็ดเลือดขาวที่เป็นผลมาจากสารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ได้อีกด้วย
ดังนั้น หากได้รับวิตามินซีก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือสูบบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงจนทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดโรคหรือทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้
2. ชะลอการเสื่อมของเซลล์จากสารอนุมูลอิสระ
สารอนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นจากกลไกตามธรรมชาติของร่างกายร่วมกับการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก หากสารอนุมูลอิสระมีอยู่มากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลของร่างกาย (Oxidative Stress) โดยอาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์และยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามร่างกาย จึงอาจไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคและปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่ระดับที่ไม่รุนแรงหรือโรคเรื้อรังไปจนถึงโรคร้ายแรงหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง
วิตามินซีเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถต่อต้านและลดระดับของสารอนุมูลอิสระได้ เมื่อสารอนุมูลอิสระในร่างกายลดลงและกลับมาอยู่ในระดับปกติ ร่างกายก็มีความสมดุลมากขึ้น จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบและความเสียหายเรื้อรังของเซลล์ภายในร่างกาย
3. บรรเทาอาการโรคหวัด
หลายคนอาจเคยได้ยินว่าการได้รับวิตามินซีเป็นประจำช่วยป้องกันหวัดได้ แต่ในปัจจุบันสรรพคุณป้องกันโรคหวัดของวิตามินซีในกลุ่มคนทั่วไปนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ถึงอย่างนั้น การได้รับวิตามินชนิดนี้อย่างเพียงพออยู่เป็นประจำอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคหวัด และยังอาจช่วยย่นเวลาการรักษาตัวจากโรคหวัดได้ นอกเหนือจากโรคหวัดแล้ว วิตามินซียังอาจช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้ออื่น ๆ อย่างโรคปอดอักเสบหรือโรคปวดบวมได้เช่นกันด้วย
แต่ในผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำอาจเป็นไปได้ว่าการบริโภควิตามินชนิดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหวัด เนื่องจากมีการศึกษาขนาดใหญ่พบว่า การได้รับวิตามินซีเป็นประจำทุกวันในผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนัก อย่างเช่นนักวิ่งมาราธอน นักสกี หรือทหารที่ได้รับการฝึกและออกกำลังอย่างหนัก อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหวัดได้จริง
4. บำรุงผิวให้สวยและแข็งแรง
หลักฐานวิทยาศาสตร์บางส่วนพบว่าวิตามินซีอาจช่วยสร้างเกราะและเสริมความแข็งแรงให้กับผิว ซึ่งช่วยป้องกันแสงยูวีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาผิว อีกทั้งยังอาจช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวยืดหยุ่น จึงอาจช่วยชะลอการเกิดลดริ้วรอยได้ รวมไปถึงยังอาจช่วยให้แผลบริเวณผิวหนังสมานตัวไวและหายได้เร็วขึ้นอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ไม่ได้รับวิตามินชนิดนี้อย่างเพียงพออาจมีแนวโน้มที่ผิวจะอ่อนแอและเกิดปัญหาผิวสูงกว่าผู้ที่ได้รับวิตามินเป็นประจำ
นอกจากนี้ วิตามินซียังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ลดความดันโลหิต ลดระดับไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงโรคเก๊าท์ และอีกหลากหลายสรรพคุณ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ล้วนมาจากการศึกษา งานวิจัย และการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งงานแต่ละชิ้นอาจมีปริมาณการใช้วิตามินที่ต่างกัน รวมถึงลักษณะผู้เข้าร่วมการทดลองที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การใช้หรือรับประทานวิตามินซีควรทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
วิตามินซีหาได้จากไหน ?
วิตามินซีเป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง แต่จะได้รับวิตามินซีจากอาหาร โดยมีผักและผลไม้หลายชนิดที่มีปริมาณวิตามินซีค่อนข้างสูง เช่น ส้ม แคนตาลูป ฝรั่ง สตรอเบอรี่ มะเขือเทศ กีวี่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี พริกหยวก ฯลฯ
นอกจากนี้ ในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซี ผู้ที่มีปัญหาด้านการดูดซึม ผู้ที่ต้องการชดเชยสารอาหาร หรือผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นพักผ่อนน้อยหรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็อาจเลือกใช้วิตามินซีในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ ควรเลือกซื้อวิตามินซีตามวิธีดังนี้
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือ มีแพทย์หรือเภสัชกรคอยให้คำแนะนำ
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์วิตามินซีที่มีสารอาหารช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซี
- เลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ง่าย อย่างวิตามินชนิดเม็ดฟู่ละลายน้ำที่สามารถรับประทานได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยาหรือผู้ที่มีปัญหาด้านการดูดซึม
นอกจากนี้ วิตามินซีบางยี่ห้อยังมีสารอาหารที่ช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซี อย่างซิงค์ (Zinc) หรือสังกะสีที่เป็นแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกายและเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่โดดเด่นเรื่องการเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเช่นกัน เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสมร่วมกับวิตามินซีจึงอาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากยิ่งขึ้นอีก ซึ่งอาจลดความเสี่ยงในการติดเชื้อบางชนิดได้ อีกทั้งซิงค์ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นด้วย เช่น ช่วยในการสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว ลดสิว ต้านการอักเสบ และลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด เป็นต้น ดังนั้น การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์วิตามินซีที่มีซิงค์เป็นตัวเสริมก็อาจช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีและซิงค์อย่างครบถ้วนภายในเม็ดเดียว จึงอาจส่งผลให้ร่างกายได้รับประโยชน์และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
การบริโภควิตามินซีอย่างเพียงพอไม่ว่าจากแหล่งไหนมักมีจุดประสงค์หลักคือป้องกันร่างกายขาดวิตามินซี ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวันได้
ใช้วิตามินซีอย่างปลอดภัย
ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวันอาจแตกต่างกันไปตามช่วงวัย ดังนี้
- อายุ 9-13 ปี ต้องการวิตามินซีประมาณ 45 มิลลิกรัมต่อวัน
- อายุ 14-18 ปี เพศชายต้องการวิตามินซีประมาณ 75 มิลลิกรัม และเพศหญิงประมาณ 65 มิลลิกรัม
- อายุ 19 ปี ขึ้นไป เพศชายต้องการวิตามินซีประมาณ 90 มิลลิกรัม และเพศหญิงประมาณ 75 มิลลิกรัม
หลายคนอาจสังเกตเห็นว่าปริมาณวิตามินซีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจดูสูงกว่าที่ร่างกายต้องการอยู่มากเพราะว่าวิตามินชนิดนี้ละลายน้ำได้ค่อนข้างเร็ว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงถูกออกแบบให้มีปริมาณสูงเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับอย่างเพียงพอ สำหรับส่วนเกินของวิตามินซีที่เหลือก็จะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
โดยทั่วไป การรับประทานวิตามินซีนั้นค่อนข้างปลอดภัย แต่บางรายที่ได้รับวิตามินซีในปริมาณมากเกินไปอาจเกิดผลข้างเคียง อย่างปวดศีรษะ ผื่นแดงตามผิวหนัง ปวดท้อง หรือท้องเสียได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย ควรใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินซีตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิด
นอกจากนี้ การมีสุขภาพที่ดีและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ควรรับประทานอาหารให้หลากหลายเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงหรือปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น นอนดึก พักผ่อนน้อย ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เป็นต้น
ทั้งนี้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพแวดล้อมและโรคภัยไข้เจ็บ หลายคนอาจอยากทราบว่าการใช้วิตามินซีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้หรือไม่ แต่อย่างที่ได้บอกไปในข้างต้นว่า สรรพคุณการป้องกันเชื้อไวรัสแม้แต่ในโรคหวัดของวิตามินซีนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นเชื้อที่เพิ่งถูกค้นพบทำให้ยังไม่มีการศึกษาถึงวิธีการป้องกันที่ชัดเจน จึงทำได้เพียงรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกับการดูแลตนเองอย่างถูกหลักอนามัย เช่น รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปในที่สาธารณะเพื่อช่วยป้องกันระบบทางเดินหายใจจากมลพิษ สารพิษ และเชื้อโรค ล้างมือด้วยวิธีที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ หรือหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายของเชื้อไวรัส COVID-19 มากที่สุด สมาชิกภายในครอบครัวจึงควรให้การดูแลและหมั่นสังเกตการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุภายในบ้านมากเป็นพิเศษ
ขอบคุณบทความดีดี จาก https://www.pobpad.com/
บทความแนะนำ กัญชาต้านมะเร็ง
แนะนำบทความ กัญชากับกลไกยั้บยั้งมะเร็ง