วัดป่าผาลาด ต.วังด้ง อ.เมือง จ. กาญจนบุรี
วัดป่าผาลาดยินดีต้อนรับทุกท่านที่ตั้งใจเรียนรู้และปฎิบัติเจริญศีล สมาธิ ภาวนา ทางวัดเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฎิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เงียบสงบ ท่ามกลางป่าไม้ธรรมชาติ ธารน้ำตก
เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการจัดการรองรับเรื่องที่พัก ก่อนมาปฎิบัติธรรม กรุณาติดต่อวัด หรือ คุณแม่ชีบุญยงค์ Tel. 089-6154890 เพื่อทางผู้ที่มาปฏิบัติจะได้รู้ว่า ต้องเตรียมเสบียงอะไรขี้นไปบ้าง และจะได้เช็คดูว่า จะทับซ้อนกับคณะอื่นที่มาปฏิบัติธรรมหรือไม่
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ กุฎิและอาคารต่างๆที่ใช้ในการปฎิบัติศาสนกิจให้ทันสมัยขึ้น ให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต น้ำใช้ยังเป็นน้ำซับใต้ดินที่มาจากธรรมชาติ มีความใสสะอาด ที่ทางวัดได้สร้างบ่อเก็บกักน้ำไว้เพื่อนำมาใช้ได้สะดวกโดยต่อท่อประปาไปยังห้องน้ำและเรือนพักต่างๆ และยังประโยชน์แก่ชาวบ้านด้วย ตามที่พักสงฆ์และชีไม่มีไฟฟ้าใช้ ยกเว้นที่หอสวดมนต์ โบสถ์ และโรงครัวเป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้จากผู้ศรัทธานำมาทอดกฐินถวาย ทำให้สามารถใช้ตู้เย็นเก็บอาหารสดแทนการแช่ในถังน้ำแข็งเช่นแต่ก่อน
วัดป่าผาลาดมีกุฏิปฎิบัติธรรมแยกฝ่ายกันชัดเจน ระหว่างชาย และ หญิง ประมาณ 15 หลัง อยู่ห่างไกลกันท่ามกลางป่าเบญจพรรณและป่าไผ่ แสงสว่างในยามค่ำคืนจะใช้เทียนไขและไฟฉาย แต่ในคืนเดือนหงาย พลังแห่งการส่องสว่างของแสงจันทร์ ทำให้สถานที่นี้ศักดิ์สิทธมาก ผู้มาเยี่ยมเยียนและปฎิบัติธรรม จะประทับใจในความเป็นธรรมชาติ งดงาม สงบ วิเวก และสะอาดอย่างอัศจรรย์ ในความดูแลของคณะสงฆ์และคุณแม่ชีในฝ่ายอุบาสิกา
ทางขึ้นวัดที่เชิงเขาได้มีการปรับปรุงในช่วงที่ลาดชันมากๆ และขรุขระที่อาจเป็นอันตรายในเวลาขี่ยวดยานขึ้นลงสำหรับผู้ไม่ชำนาญ โดยลาดปูนซีเมนต์เพื่อให้การสัญจรสะดวกขึ้น ถนนนี้ไม่ใช้ถนนหลวงจึงไม่ได้อยู่ในการพัฒนาของทางราชการ การปรับปรุงจึงตอ้งพึ่งพาผู้มาปฎิบัติธรรมช่วยกันบริจาค รวมทั้งการซ่อมแซมกุฎิสงฆ์ และชี
ความเป็นมาวัดป่าผาลาด
ในระหว่างที่ท่านพระอาจารย์ประยุทธ (เจ้าอาวาสรูปแรก) นั่งสมาธิอยู่ได้นิมิตถึง 2 ครั้งเห็นสถานที่แห่งหนี่งว่าเป็นภูเขาที่อยู่ในเขต จ.กาญจนบุรี เลยทุ่งลาดหญ้าไปเป็นภูเขาที่มีสระน้ำเกิดขึ้นหลายแห่งและมีน้ำตกด้วย ท่านจึงได้มาสร้างกุฏิและศาลาขึ้นเพื่อใช้บำเพ็ญเพียร ต่อมาสหธรรมิกผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบมาเยี่ยมบ้าง มาขอปฎิบัติบ้าง จึงปลูกกุฎิกรรมฐานขึ้นอีก 4-5 หลัง แยกออกห่างกันเพื่อไม่ให้รบกวนความสงบกันและกัน และจากนั้นจึงมาเป็นวัดป่าผาลาด ที่เป็นสถานที่ที่ท่านได้ปฎิบัติธรรมภาวนาเรื่อยมา จนมรณะภาพ เนื่องจากท่านเป็นพระฝ่ายปฎิบัติจึงอยู่ประจำเฉพาะช่วงเข้าพรรษา เมือออกพรรษาท่านจะธุดงค์เข้าป่า
การเดินทางไปที่วัด
รถยนต์ส่วนตัว-ใช้เส้นทางกรุงเทพ-กาญจนบุรี
ไปทางน้ำตกเอราวัณ สังเกตหลักกิโลเมตรที่ 6 ตามทางหลวงที่ 3199 ถึงบ้านลาดหญ้า ผ่านเขาชนไก่ให้ขับตรงไปเรื่อยๆ ข้ามสะพาน “ห้วยลำตะเพิน” ขับตามถนนที่ลาดโค้ง แล้วให้ออกขวาไว้จะเห็นทางแยกให้เลี้ยวขวา ซึ่งจะมีป้ายบอกชื่อวัด ขับมาจะเห็นป้อมตำรวจชุมชนหินดาด ให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปตามถนนจนสุดทางหลวง ( ต่อไปจะเป็นถนนดินแดง) ให้เตรียมเลี้ยวขวาผ่านไร่อ้อย เพื่อขับขั้นเขาจากจุดนี้จะมีถนนที่ได้ปรับปรุงไว้เป็นระยะๆ จนถึงที่ราบบนเขาที่ชาวบ้านปลูกพืชผลต่างๆ ขับไปเรื่อยๆจนเห็นป้ายบอกชื่อวัด ให้ขับไปตามทางนั้น จะเห็นโบสถ์เรือนไม้ตั้งอยู่ โดยใช้เวลาจากบ้านลาดหญ้าถึงวัด ประมาณ 30-40 นาที
รถตู้ -ไปขึ้นที่สนามหลวงข้างๆพระแม่ธรณีบีบมวยผม ค่าบริการเที่ยวละ 120 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. เศษ นั่งสุดทางคิวรถ บอกให้คนขับ ขอลงที่ครัวเคเบิล หรือหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวผัดไทแบบโบราณ
ข้อมูลในส่วนของวัดได้มาจาก http://watpahpalad.blogspot.com
ประวัติ หลวงพ่อประยุทธ์ ธัมมะยุตโต
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
ท่านอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต นามสกุลเดิม สุวรรณศรี เกิดที่จังหวัดเพชรบุรีในครอบครัวที่มีฐานะดีพอควร ทราบแต่ว่า ท่านเกิดวันเสาร์ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๗๑ มีพี่น้องรวมทั้งตัวท่านด้วย ๕ คน ครอบครัวท่านอพยพไปอยู่ทางหัวหิน ท่านจึงเติบโตที่นั่น พระอาจารย์เล่าว่า ชะตาของท่านต้องฆ่าคนเมื่ออายุ ๑๑ ปี โดยไม่เจตนา คือขว้างมีดเล่นๆ ไปถูกที่สำคัญทำให้ชายผู้หนึ่งตาย แต่ยังเป็นเด็กจึงยังไม่ถูกลงโทษฑัณฑ์
เมื่ออายุครบบวช โยมบิดาสิ้นชีวิตแล้ว โยมมารดาจึงจัดให้บวชตามประเพณีอยู่ ๑ พรรษา ท่านบอกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะบวชตามประเพณีจริงๆ หลังจากลาสิกขาแล้ว ก็จากครอบครัวไปทำมาหากินทางภาคใต้ประกอบอาชีพหลายอย่างในหลายจังหวัด เคยทำประมง เป็นกัปตันเรือหาปลา มีเพื่อนฝูงและลูกน้องมาก และเคยไปตั้งบาร์ไนท์คลับที่ประเทศมาเลเซีย
ระยะผกผันในชีวิต คือ มีพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ ได้ว่าจ้างให้ขนฝิ่นไปส่งลูกค้าที่มาเลเซีย ในราคาเที่ยวละ ๒,๐๐๐ บาท ไปรับเงินที่ปลายทาง
ผู้มารับฝิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ ๒ คนบอกว่าจ่ายเฉพาะค่าฝิ่น ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ค่าขนเขาไม่เกี่ยว สรุปว่าโดนหักหลัง ทางเจ้าของฝิ่นทางกรุงเทพฯ คงไม่ไว้ใจท่านแน่ โทษฑัณฑ์ในวงการฝิ่นก็คือ การฆ่าลูกเดียว แต่ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ ๒ คนนั้นขู่ว่า ถ้าไม่ตกลงตามราคาที่เสนอก็จะแจ้งตำรวจมาเลเซียจับ
เรียกว่าท่านไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจฆ่าเจ้าหน้าที่ ๒ คนนั้นแล้วโยนศพลงทะเลไป ปรากฏว่า ศพเกิดลอยน้ำมาติดอยู่ข้างเรือ ท่านจึงถูกจับฐานสงสัยว่าฆ่าคนตาย แต่ไม่มีเรื่องค้าฝิ่น
พระอาจารย์ประยุทธ ถูกขังในคุกมาเลเซียหลายเดือน ขึ้นศาลหลายครั้ง พอครั้งที่ ๖ มีผู้ชายบุคลิกดีอายุราว ๕๐–๖๐ พยายามขอเข้าเยี่ยม บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่ถึงตาย หรือติดคุกหรอกหลานชาย ลุงจะช่วย”
ลุงคนนั้นบอกคาถาสั้นๆ ให้ไว้บริกรรมเวลาขึ้นศาล ท่านไม่เชื่อแต่ก็ยอมทดลองดู ปรากฏว่าได้ผล “เพราะวันตัดสิน ศาลปล่อย แต่ห้ามเข้ามาเลเซียอีก รอดประหารไปได้อย่างปาฏิหาริย์”
พระอาจารย์ประยุทธ บอกให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านมาทราบในภายหลังว่าคุณลุงคนนั้นเป็นเทพ มาช่วยปกปักรักษาท่าน
เมื่อพ้นโทษจากมาเลเซีย พระอาจารย์ก็กลับเมืองไทย ยังวนเวียนอยู่ทางภาคใต้เช่นเดิมในช่วงนั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลไทยต้องเข้าร่วมกับญี่ปุ่นด้วยความจำเป็นบังคับ
ขณะเดียวกัน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกับคนไทยจำนวนหนึ่ง จัดตั้งคณะเสรีไทย ทำงานใต้ดินเพื่อขัดขวางกองทัพญี่ปุ่นทุกวิถีทาง
พระอาจารย์ประยุทธ ได้เข้าร่วมกับคณะเสรีไทย อยู่ในกลุ่มที่คอยตัดกำลังญี่ปุ่น เรียกว่า กลุ่มไทยถีบ คือเมื่อญี่ปุ่นขนอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร ไปให้กองทัพของตนตามภาคต่างๆ ซึ่งส่งไปทางรถไฟ ก็จะถูกกลุ่มไทยถีบ ถีบของเหล่านี้ลง เพื่อไม่ให้ส่งไปถึงปลายทางได้
พระอาจารย์ประยุทธ ได้รวมสมัครพรรคพวก ได้ประมาณ ๒๐๐ คน ไปซ่องสุมอยู่เกาะตะรุเตา ส่วนหนึ่งเป็นโจรสลัดอยู่ในทะเล คอยปล้นเรือสินค้าและเสบียงทางเรือของกองทัพญี่ปุ่น แล้วนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนที่กำลังอดอยากตามชายฝั่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายกันอยู่บนฝั่งคอยเป็นหูเป็นตาให้ โจรสลัดทะเลหลวงกลุ่มขุนโจรอิสไมล์แอโด่งดังมากในช่วงนั้น
เมื่อสงครามสงบลง การปล้นของโจรกลุ่มนี้ก็เปลี่ยนแผนใหม่ ในช่วงนั้นประชาชนทางภาคใต้มีข้าวไม่พอกิน ในตลาดก็ไม่มีขาย แต่มีเรือของผู้มีอิทธิพลขนข้าวไปขายทางมาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในภาวะขาดแคลนเหมือนเมืองไทย แต่ขายสินค้าได้แพงกว่ามาก
ขุนโจรอิสไมล์แอ เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าปล้นเรือขนส่งสินค้าเหล่านั้นหลายหน แล้วนำสินค้าเหล่านั้นออกแจกประชาชน เช่นเคย ผู้มีอิทธิพลเจ้าของสินค้าพยายามเจรจาต่อรอง แต่กลุ่มโจรไม่ยอม ถ้าไม่หยุดส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ
พระอาจารย์ประยุทธ หรือ นายประยุทธ สุวรรณศรี คุมลูกน้องเป็นโจรสลัดในทะเลหลวงอยู่ ๕ ปี เป็นขุนโจรอิสไมล์แอที่โด่งดังที่ไม่มีใครปราบได้
เหตุการณ์พลิกผันในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อน้องสาวส่งข่าวว่าคุณแม่ตาย ก่อนตายคร่ำครวญหาแต่ “เล็กของแม่” จนกระทั่งสิ้นใจ พระอาจารย์ประยุทธ มากราบรูปถ่ายของแม่ ระลึกย้อนถึงเหตุการณ์แต่ครั้งหลัง ถึงความรักความห่วงใยของแม่ พลัน…จิตของท่านก็สงบลง และวูบลงไป
ปรากฏเป็นชายร่างกำยำ ๔ คน ตรงมาจับส่งท่านกระชากลงไปในนรก จับใส่เครื่องขื่อคา แล้วบังคับให้ลงไปในกระทะทองแดง ท่านหวาดกลัวมาก พลันคิดถึงแม่ จึงร้องเรียก “แม่ช่วยลูกด้วย” ปกติโยมแม่เป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญ และอยู่ในศีลในธรรมเสมอ มา
พอท่านร้องว่า “แม่ช่วยด้วย” ก็มีใบบัวใหญ่เท่ากระด้งตากปลามาช้อนร่างท่านขึ้นไปบนที่สูง ได้ไปเห็นวิมานที่สวยงาม พบเหล่านางฟ้าเทพธิดาต่างๆ จำนวนมาก… หลังจากท่องวิมานพอสมควร ก็มีนางฟ้าท่านหนึ่งพูดว่า “ไปเสียก่อนเถอะ ไปสร้างกุศลบารมีให้พอเสียก่อน จึงค่อยมาเจอกันใหม่” แล้วท่านอาจารย์ประยุทธ ก็รู้สึกตัวอยู่ตรงหน้ารูปถ่ายของคุณแม่นั้น แต่ท่านก็งุนงงกับเหตุการณ์มาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
หลังจากนั้นท่านก็บอกกับพี่สาว น้องสาว ว่าจะขอออกจากบ้านไปอีกครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะไปนานเท่าใด พี่สาวเอาเงินมาให้ ๕,๐๐๐ บาท ท่านหยิบเอาเพียง ๕๐๐ บาท เหลือนอกนั้นบอกให้เอาไปทำบุญให้แม่ ความจริงท่านมีเงินมาก แต่ไม่กล้าบอกให้พี่น้องรู้ รับไว้เพียง ๕๐๐ บาท พอเป็นพิธีเท่านั้น
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
พระอาจารย์ประยุทธ มุ่งลงใต้ เพราะลูกสมุนยังมีอยู่มากและคุ้นเคยกับภูมิภาคแถบนั้นดี ท่านอยู่ที่นั่นนานพอสมควร ก็ได้พบกับ “หลวงปู่” องค์หนึ่ง ท่านเกิดความเลื่อมใส จึงแจกจ่ายเงินทองทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูกน้อง แล้วท่านก็บวชเป็นพระอย่างเงียบๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้ยุ่งยาก เรียกว่า “โกนหัวเข้าวัด” พระอาจารย์ประยุทธ ได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับ “หลวงปู่” ๑ ปี ได้ฝึกกรรมฐานและธุดงค์วัตรตามแบบพระป่า
วันหนึ่ง “หลวงปู่” ก็บอกว่า ท่านหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว ต้องไปหาอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ตอนนี้อยู่ทางภาคเหนือ พระองค์นั้นแหละที่จะเป็นครูอาจารย์ของท่าน
“หลวงปู่” บอกว่าได้คุยฝากฝังกับพระอาจารย์องค์นั้นในทางจิตและรู้เรื่องกันหมดแล้ว
“หลวงปู่” ได้บอกรูปร่างลักษณะ และที่อยู่ของพระอาจารย์องค์นั้นอย่างละเอียด และสั่งว่า
“ข้อสาคัญ การไปหาท่านอาจารย์ จะขึ้นรถลงเรือไม่ได้ ต้องเดินธุดงค์ด้วยเท้าจากใต้ไปถึงภาคเหนือ จะนานเท่าไรก็ตาม”
พระอาจารย์ประยุทธ ใช้เวลาเดินธุดงค์ ๓ เดือนเต็มจึงได้ไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่นำเสนอแล้วในตอนต้น
พระอาจารย์ประยุทธ อยู่ในสำนักหลวงปู่ตื้อ ๓ ปีท่านจึงได้ธุดงค์ต่อไป ท่านได้ไปสร้างสำนักสงฆ์ที่ถ้าผาพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยและไปมรณภาพที่ วัดป่าผาลาด ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒
ขณะอยู่กับหลวงปู่ตื้อ
ช่วงที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พำนักอยู่ทางภาคเหนือได้มีผู้มาฟังธรรมด้วยจำนวนมาก รวมทั้งที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ขอแนวปฏิบัติกรรมฐานก็มีเยอะ
ในปีที่หลวงปู่จำพรรษาที่วัดป่าดาราภิรมย์ อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ในวันหนึ่งได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาจากภาคใต้ ตั้งใจมาขอเป็นศิษย์เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่
พระภิกษุรูปนั้นก็คือ พระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโตแห่งสำนักวัดป่าผาลาด จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว เป็นพระป่าที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่ง ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีงามน่าเลื่อมใสมาก หลังจากการเผาศพของท่านแล้ว อัฐิท่านได้กลายเป็นพระธาตุ ท่านได้รับฉายาว่าพระอรหันต์ผู้มีอดีตเป็นขุนโจรอิสไมล์แอ
ในประวัติของพระอาจารย์ประยุทธ ท่านบันทึกไว้ว่าท่านใช้เวลาเดินทางจากภาคใต้สู่ภาคเหนือ ๓ เดือนเต็ม ตอนนั้นหลวงปู่ตื้อท่านกำลังก่อสร้างสำนักสงฆ์แห่งใหม่ในเขตอำเภอแม่ริม ซึ่งปัจจุบันก็คือวัดป่าดาราภิรมย์ กุฏิสงฆ์เป็นเพียงกุฏิไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก พอได้อาศัยหลบแดดฝนเพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น พระเณรก็มีอยู่ไม่กี่รูป
พระอาจารย์ประยุทธยังเป็นพระใหม่ บวชได้พรรษาเดียว ท่านบุกบั่นไปหาหลวงปู่ตื้อด้วยความทรหดอดทน สมกับที่เป็นอดีตขุนโจรผู้นำสมุนจำนวนมาก
พระอาจารย์ประยุทธ เดินเข้าไปในวัด เห็นพระนั่งอยู่ตามลำพังที่ศาลาโรงฉัน ดูจากท่าทาง มั่นใจว่าเป็นหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม จึงเข้าไปกราบ และเรียนท่านว่าเดินทางมาจากภาคใต้ ใช้เวลา ๓ เดือน ตั้งใจฝากตัวขอเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมด้วย
เพราะหลวงปู่ตื้อท่านพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาไม่ชอบพูดยาวอ้อมค้อมหรือเกรงอกเกรงใจใคร หลวงปู่ได้ถามทันทีว่า “ก่อนบวชเคยทำอาชีพอะไรมา ให้บอกไปตามความจริง”
พระอาจารย์ประยุทธ ทำท่าอึกอัก ไม่รู้จะตอบท่านอย่างไรดี
หลวงปู่ก็ชี้หน้าว่า “ให้บอกมา ไม่เช่นนั้นจะไม่รับเป็นศิษย์”
พระอาจารย์ประยุทธ จึงพูดละล่ำละลักว่า “เป็นโจรครับ”
หลวงปู่พูดหนักแน่นว่า “การเป็นศิษย์ต้องมีข้อแม้ เมื่อท่านรับปากจะปฏิบัติตาม”
แล้วท่านก็ให้พระอาจารย์ประยุทธ ไปจุดธูปปักในกระถางหน้าพระประธานบนศาลาโรงฉัน แล้วให้พูดตามท่านว่า “ข้าพเจ้าจะบวชตลอดชีวิต ไม่ลาสิกขา”
พระอาจารย์ประยุทธ ธมฺมยุตฺโต ได้เป็นศิษย์ติดตามหลวงปู่ตื้ออยู่ ๓ ปีไม่ว่าหลวงปู่จะออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร ในท้องถิ่นใด ก็ได้ติดตามท่านไปด้วยเสมอ เว้นแต่เวลาบำเพ็ญเพียร ก็จะแยกไปปักกลดภาวนาในที่ไม่ห่างไกลนัก เมื่อมีปัญหาติดขัดในการปฏิบัติก็มากราบเรียนถามท่านได้
ภาพพระธาตุ
แหล่งข้อมูล: นิตยสารนิตยสารโลกทิพย์ ฉบับที่ ๑๖๔ อ้างโดย รศ.ดร.ปฐม นิคมานนท์ และ ภัทรา นิคมานนท์. ม.ป.ป. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุปัน. โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม 2. http://dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm |
คลิกเพื่อดู โรงพิมพ์ JR
คลิกเพื่ออ่าน วัดอินทาราม พระเจ้าตากสิน